แต่เดิมแล้วมนุษย์เรามีรูปแบบการใช้ชีวิตด้วยระบบแมนนวล (Manual) ซึ่งจะเป็นการสั่งการ หรือกำหนดด้วยตนเองไม่ว่าจะเป็นการก่อไฟเพิ่มแสงสว่างและความอบอุ่น หรือการกดปุ่มเปิด-ปิดสวิตช์ด้วยตนเอง แต่ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมาก ทำให้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาช่วยเพิ่มคุณภาพในการดำรงชีวิตหรือที่รู้จักในชื่อ “Smart Living”
ประโยชน์ของ Smart Living ไม่จำกัดเพียงแค่ความสะดวกเท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยความปลอดภัย การใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด คุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า ซึ่ง ณ ตอนนี้ระบบ Smart Living ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตเราไม่มากก็น้อยโดยที่หลายคนก็อาจไม่ทันรู้ตัว
ในบทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับการใช้ชีวิตแบบ Smart Living คืออะไร มีประโยชน์อะไรกับเราบ้าง เหตุใด Smart Living จึงสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของเราได้ และระบบ Smart Living ในปัจจุบันมีตัวไหนที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลย
ชีวิตแบบ Smart Living คืออะไร?
หากให้แปลตรงตัว การใช้ชีวิตแบบ Smart Living คือวิถีการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายถึงเราจะต้องเป็นอัจฉริยะแต่อย่างใด แต่เป็นการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกนั่นเอง
ซึ่ง Smart Living จะเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตจากระบบแมนนวลที่อาจมีความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human error) มาเป็นระบบออโตจากการตั้งค่าผ่านอุปกรณ์หรือเครือข่ายที่จะเข้ามาลดความผิดพลาดตรงนี้ลงเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ สะดวกสบาย ปลอดภัย และมีความคุ้มค่าที่สุด
ในปัจจุบัน Smart Living ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ที่เห็นได้บ่อย ๆ ในขณะนี้คือการนำมาใช้กับที่อยู่อาศัยหรือ Smart Home โดยอาจมีการกล่าวว่าเป็นบ้านแห่งอนาคตที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย และการนำ Smart Living มาใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในเมือง
Smart Living สู่ Smart City ยกระดับเมืองคุณภาพด้วยเทคโนโลยี
ในยุคที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด มนุษย์ได้เริ่มใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพื่อการบริหารและจัดการเมืองอย่างมีคุณภาพจึงได้นำ Smart Living เข้ามาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ สิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย เป็นต้น ในหัวข้อนี้เราจะมายกตัวอย่าง Smart Living ที่ถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ เข้าใกล้นิยามเมืองอัจฉริยะ Smart City ยิ่งขึ้น
ระบบการแพทย์ทางไกล (DMS Telemedicine)
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศไทยยังดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับข้อจำกัดหลายประการ อาทิ ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล, การเข้าถึงโรงพยาบาลที่ยากลำบาก, ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน นอกจากนี้ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บและการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้แพทย์ต้องรับผู้ป่วยมากเกินความจำเป็นและทำให้แพทย์ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ครอบคลุม
Smart Living ทางการแพทย์อย่าง DMS Telemedicine หรือระบบแพทย์ทางไกลเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้แพทย์และผู้ป่วยได้พูดคุยแบบ Real-Time แพทย์สามารถประเมิน วินิจฉัยและแนะนำการรักษาผ่านช่องทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องพบหน้ากันตรง ๆ ไม่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ไม่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแพทย์แก่ผู้ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงโรงพยาบาล, ลดความแออัดในโรงพยาบาล และที่สำคัญที่สุดยังช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อใหม่หรือการแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างได้อีกด้วย
รถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัย Smart School Bus
ในประเทศไทยมีเหตุการณ์สูญเสียเยาวชนจากการถูกลืมและถูกทิ้งไว้ในรถตามลำพังไม่น้อย โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จึงได้มีโครงการรถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัยหรือ Smart School Bus ขึ้น
Smart School Bus หรือรถโรงเรียนรุ่นใหม่เด็กปลอดภัยนี้เป็นหนึ่งในการส่งเสริม Smart Mobility โดยจะมีการติดตั้ง GPS หรือระบบติดตามเพื่อติดตามตำแหน่งของรถและผู้โดยสารเด็กภายในรถแบบ Real-Time อีกทั้งยังมีการนำระบบ AI เข้ามาช่วยประมวลผลสถานะต่าง ๆ ภายในรถโรงเรียนนี้ โดยเราสามารถติดตามสถานะต่างๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนได้ตลอดเวลา
Smart School Bus นับเป็นอีกหนึ่ง Smart Living ที่นำเทคโนโลยีและระบบ AI มาช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
เครื่องดักจับคาร์บอน โดยเยาวชนไทย
เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนอาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็ยังประสบปัญหากับต้นทุนที่สูงจนเกิดความไม่คุ้มค่าในด้านอุตสาหกรรม จึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ในประเทศไทยเองก็มีนักประดิษฐ์เยาวชนที่พัฒนาแบบจำลองเครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซต์และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานหมุนเวียน และยังสามารถดักจับฝุ่นละออง PM2.5 ที่เป็นหนึ่งในมลพิษทางอากาศได้อีกด้วย
หากเครื่องดักจับคาร์บอนนี้ถูกพัฒนาให้นำมาใช้งานได้จริงก็จะเป็นอีกหนึ่ง Smart Living ด้านสิ่งแวดล้อม (Smart Environment) ที่จะพาเข้าสู่ Smart City ได้อย่างยั่งยืน
ระบบขนส่งไร้คนขับ
ในปัจจุบันนี้เริ่มมีการนำระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตมากขึ้น โดยประโยชน์หลัก ๆ ของ Smart Living นี้คือการเพิ่มความสะดวกสบายขณะขับรถและลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุที่เกิดจาก human error ได้อีกด้วย
แอปพลิเคชันดูแลสุขภาพ
ในปัจจุบันสังคมไทยเราเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและยังมีประชาชนกลุ่มเปราะบางขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการนำเสนอนวัตกรรมการแพทย์ฉุกเฉิน Thailand Smart Living เพื่อลดอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิต
โดยนวัตกรรมนี้คือหนึ่งใน Smart Hospital ที่จะมีฟังก์ชันการทำงานที่ออกแบบมาเพื่อการดูแลผู้สูงอายุและประชาชนกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นระบบติดตามสถานะด้านสุขภาพและรายงานผลประจำวัน, การเรียนรู้ลักษณะการเคลื่อนไหวของผู้ใช้งาน, การตรวจนับการออกจากที่พักอาศัยและการแจ้งเตือนหากเกิดอุบัติเหตุเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
Smart Living คืออะไร เทคโนโลยีใดบ้าง ที่ช่วยตอบโจทย์วิถีชีวิตคนในปัจจุบัน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://techwealth99.com/